การควบรวมกิจการ โทรคมนาคม กับ ปัญหากฎหมาย

การควบรวมกิจการ โทรคมนาคม ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้รับความสนใจของประชาชนทั่วไป เพราะ ปัจจุบันโทรศัพท์มือถือและบริการโทรคมนาคม เป็นสิ่งที่สำคัญต่อการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชน

            เมื่อมีข่าวเกี่ยวกับการควบรวม ทรู-ดีแทค เมื่อปีที่แล้ว (พ.ศ. 2565) ได้เกิดปัญหาข้อสงสัยว่า ในอดีตที่ผ่านมา กสทช. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลได้เคยพิจารณา เรื่องในลักษณะเช่นนี้มาก่อนอย่างไรหรือไม่

            คำตอบคือ ภายใต้ประกาศฉบับปัจจุบัน กสทช. ได้เคยพิจารณาและรับทราบเรื่อง การรวมกิจการโทรคมนาคมมาก่อนหน้านี้แล้วถึง 9 เรื่อง


            การควบรวมกิจการ สามารถเกิดขึ้นได้ตามกฎหมายจากการที่บริษัทตั้งแต่ 2 บริษัทมาควบรวมกันเป็นบริษัทใหม่ (A+B=C) ถือเป็นกรณี Amalgamation หรือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ฉบับใหม่สามารถเกิดขึ้นได้จากบริษัทเดิมสิ้นสภาพการเป็นนิติบุคคล (A+B = A) ซึ่งแตกต่างจากการกรณีที่ บริษัทที่หนึ่งเข้ามาซื้อหุ้นหรือกิจการของบริษัทที่สอง โดยที่ไม่ได้ทำให้เกิดบริษัทใหม่ขึ้นมา หรือทำให้บริษัทเดิมสิ้นสภาพไป ถือเป็นกรณี Share/Asset Acquisition



            การควบรวมกิจการโทรคมนาคม มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องคือ พรบ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมมนาคม พ.ศ. 2553 มาตรา 27 (11) พรบ. การประกอบกิจการโทรคมนาคมพ.ศ. 2544 มาตรา 21, มาตรา 22 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 77


            กฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้ง 3 ฉบับนี้ ได้บัญญัติให้อำนาจ กสทช. ในการออกมาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม จึงเป็นที่มาของการที่ กสทช. ได้ออกประกาศเรื่องมาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2561


            กฎหมายที่เกี่ยวข้องนี้ไม่ได้ให้อำนาจ กสทช. ในการพิจารณาอนุญาตหรือไม่อนุญาตการควบรวมธุรกิจ ดังที่ปรากฏในรายงานวิจัย ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่กล่าวถึงประเด็นสำคัญโดยสรุปว่า ในปัจจุบัน (มิถุนายน พ.ศ. 2565) กสทช. ยังไม่มีอำนาจตามกฎหมายในการอนุญาตให้เกิดการรวมธุรกิจได้ แต่ประกาศ กสทช. เรื่องมาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2561 กำหนดให้ใช้มาตรการเฉพาะสำหรับผู้มีอำนาจเหนือตลาดอย่างมีนัยยะสำคัญในตลาดโทรคมนาคมที่เกี่ยวข้อง มาบังคับใช้เพื่อป้องกันความเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะ

            ความเห็นทางวิชาการดังกล่าวจึงมีความหมายว่า กสทช. ไม่มีอำนาจอนุญาตหรือไม่อนุญาตการควบรวมกิจการโทรคมนาคม แต่มีอำนาจในการกำหนดมาตรการเฉพาะเพื่อควบคุมได้

            นอกจากนี้ ศาลปกครองกลางได้มีคำวินิจฉัยว่า มติของ กสทช. ที่รับทราบการรวมธุรกิจ ยังไม่มีเหตุความน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย และศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางได้กำหนดอย่างชัดเจนว่า กฎหมายแม่บทไม่ได้ ให้อำนาจ กสทช. พิจารณาอนุญาตหรือไม่อนุญาตการรวมธุรกิจแต่อย่างใด

            อย่างไรก็ตามมีข้อสังเกตว่า ภายในองค์กร กสทช. เอง กลับมีความพยายามจะผลักดันแก้ไข ประกาศ กสทช. เรื่องมาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2561 จากเดิมที่ กสทช. มีอำนาจเพียงการรับทราบการควบรวมกิจการ เป็นให้มีอำนาจในการพิจารณาอนุญาตหรือไม่อนุญาตในการควบรวมกิจการโทรคมนาคม

            ความพยายามในการผลักดัน แก้ไขประกาศดังกล่าวนี้ หากดำเนินการจนสำเร็จถือได้ว่า เป็นการกระทำ เกินกว่าอำนาจที่กฎหมายให้ไว้อย่างชัดเจน เพราะ อำนาจของ กสทช. ที่จะดำเนินการใดๆต้องอยู่ภายในกรอบของกฎหมายแม่บท ซึ่งหากยังฝืนแก้ประกาศให้ขัดต่อกฎหมายแล้วย่อมเป็นการส่อเจตนาที่จะฝ่าฝืนกฎหมายและอาจนำไปสู่ความรับผิดส่วนตัวต่อกรรมการที่ให้ความเห็นชอบได้

            หาก กสทช. จะต้องการเพิ่มอำนาจของตนเอง ไม่สามารถที่จะดำเนินการเพียงแก้ไขประกาศ กสทช. ที่มีศักดิ์และสิทธิเล็กหรือด้อยกว่ากฎหมายแม่บท ในทางตรงกันข้าม จะต้องมีการแก้ไขกฎหมายแม่บทที่เกี่ยวข้อง จึงจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง โดยต้องผ่านกระบวนการและขั้นตอนทางสภานิติบัญญัติ

            ความพยายามในการผลักดันแก้ไขประกาศ กสทช. ดังกล่าว ตามข่าวต้องพิจารณาว่า  เกิดจากกรรมการกสทช.บางคนซึ่งเป็นกรรมการเสียงข้างน้อยผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการรวม ทรู-ดีแทค มาตั้งแต่ต้นหรือไม่ ดังนั้นตามกฎหมายปกครองแล้วถือเป็นผู้มีส่วนได้เสียซึ่งโดยมารยาทและโดยกฎหมายไม่มีสิทธิดำเนินการหรือออกเสียงในเรื่องนี้ อีกทั้ง เรื่องการควบรวมที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหาเรื่องการแข่งขันหรือผลกระทบต่อประชน แต่มีเพียงเป็นประเด็นการพิจารณาเรื่องข้อกฎหมาย ดังนั้น กสทช. จึงควรต้องพิจารณาข้อกฎหมายให้รอบคอบ


            นอกจากนี้แล้ว ผู้ที่จะมีอำนาจในการพิจารณาแก้ไขประกาศดังกล่าว บางท่านได้แสดงความเห็นล่วงหน้าแล้วว่า สมควรแก้ไข จึงทำให้เกิดมีปัญหาถึงความเป็นกลางในการพิจารณาว่า เหมาะสมหรือไม่เพียงใด และมีผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างไรหรือไม่ หลักการพิจารณาที่ ถูกต้อง ผู้มีอำนาจพิจารณาควรรับฟังความเห็นและข้อเท็จจริงให้รอบด้าน จึงจะตัดสินใจ ไม่ใช่มีธงคำตอบอยู่แล้ว และหาเหตุผลมาสนับสนุนความเห็นที่มีอยู่แล้ว เพราะจะกลายเป็นการดำเนินการที่ขัดต่อกฎหมายที่ให้อำนาจ

            กรณีที่มีเรื่องและประเด็นที่ กสทช. จะต้องพิจารณาเกี่ยวกับการควบรวมกิจการในขณะนี้ ซึ่งมีคดีที่อยู่ในการพิจารณาของศาลในประเด็นเดียวกัน ในทางปฏิบัติของหน่วยงานราชการทั้งหลาย จะรอผลการพิจารณาตัดสินของศาลจนถึงที่สุด โดยไม่พิจารณาหรือมีความเห็นไปในระหว่างการพิจารณาของศาล เพราะเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม และผิดประเพณีการปฏิบัติของทางราชการ

            ความพยายามแก้ไขประกาศ กสทช. ปี 2561 โดยที่ไม่มีอำนาจตามกฏหมายนั้น หาก กสทช.ออกประกาศ อย่างเป็นทางการ ถือเป็นกฎที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ที่มีส่วนได้เสียหรือผู้เสียหาย มีสิทธิฟ้องศาลปกครองเพื่อให้เพิกถอนประกาศนี้ได้ และ ผู้ที่มีอำนาจพิจารณาและคณะกรรมการ กสทช. อาจมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ในการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งมีโทษและความรับผิดทางอาญาถึงขั้นจำคุก


            กสทช. เป็นองค์กรอิสระมีอำนาจกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมตามกฎหมาย เป็นองค์กรอิสระระดับประเทศ ไม่ควรถูกครอบงำ และไม่ควรดันทุรังกระทำผิดกฏหมายเสียเอง


Marut Bunnag Copyright @2020

 


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า
Cookie policy for development and experience and the experience of use that has previously been studied in detail in the policy and can be controlled by controlling the installation.setting

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
You can choose your cookie settings by turning them on/off. Cookies in each category can be customized according to your needs, except for essential cookies.

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save

Policy

1. Send only queries related to laws only.
2. Do not use rude words, or words which implicate other persons.
3. The sender of a message to the legal board must be responsible for his/her statement.

เงื่อนไขการใช้งานกระทู้คำถาม

1.สำหรับส่งคำถามที่เกี่ยวกับข้อกฎหมายเท่านั้น
2.ห้ามมีคำหยาบคาย พาดพิงบุคคลอื่น ทำให้เกิดความเสียหาย
3.ผู้ที่ส่งคำถามลงในกระดานกฏหมาย ต้องมีความรับผิดชอบต่อข้อความนั้น