ดร. รุจิระ บุนนาค
คอลัมน์ แนวหน้าออนไลน์ กฎ กติกา ธุรกิจ
เผยแพร่ : วันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2567
คดีทุจริตจำนำข้าว และโครงการระบายข้าวจีทูจี (G to G : Government to Governmentการขายสินค้าจากรัฐบาลประเทศหนึ่งตรงไปยังรัฐบาลอีกประเทศหนึ่ง) นำมาสู่คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2560 ที่พิพากษาให้จำคุก อดีตนายกรัฐมนตรีหญิง เป็นเวลา 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา ฐานไม่ระงับยับยั้งการกระทำทุจริตจนเกิดความเสียหาย ถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่รัฐผู้ร่วมกระทำการผิด
กรณีนี้สร้างความเสียหายแก่ประเทศไทย สูงถึง 1.3แสนล้านบาท แซงหน้าคดีบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน ที่มีความเสียหาย 2.49 หมื่นล้านบาท
การโฆษณาประชาสัมพันธ์ เชิญชวนซื้อข้าวจำนำลอตสุดท้าย รอบที่สองของรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์คนปัจจุบัน โดยพาคณะเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องและสื่อมวลชนพิสูจน์คุณภาพข้าวหอมมะลิในโครงการรับจำนำข้าวที่โกดังข้าวสองแห่ง ในจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นข้าวเก่าเก็บมานานนับ 10 ปี ท่ามกลางเสียงสังคมตั้งคำถามทั่วทั้งแผ่นดินว่า ข้าวอายุ 10 ปี ยังกินได้และปลอดภัยจริงหรือ? และจะไปขายให้กับใคร?
ท่านยังแถลงยืนยันว่า ข้าวค้างจำนำระลอกสุดท้ายนี้ ได้รับดูแลเอาใจใส่ ในที่เก็บเป็นอย่างดี รมยาทุกเดือนตามมาตรฐาน ปิดโกดังแน่นหนา ปลอดจากสัตว์และแมลงข้าวศัตรูเข้ารบกวน ไม่มีฝนตกสาดทำให้ข้าวเสียหาย
คาดว่า ราคากลางเปิดประมูลจะอยู่ที่ 18 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งข้าวหลุดจำนำชุดนี้ เคยมีผู้ประมูลแล้ว แต่ไม่มารับสินค้า เพราะคุณภาพตกสเปกหมายความว่าคุณภาพไม่ตรงกับตอนที่ประกาศขาย
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์ วิจารณ์ จากกลุ่มผู้ประกอบการในวงการค้าข้าว รวมถึงกลุ่มนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญออกมาแย้งว่า ข้าวค้างสต๊อกกว่า 10 ปี นั้น อาจมีสารพิษสะสมจากสารเคมีกำจัดแมลงและเชื้อโรคบางชนิดที่เจริญเติบโตและฆ่าไม่ตายด้วยความร้อนในขณะทำเป็นอาหาร อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภค หรืออาจสะสมอยู่ในตัวของเหล่าปศุสัตว์ที่ใช้ข้าวค้างสิบปีนี้เป็นอาหารในการเลี้ยงดู
นักการเมืองผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ ได้แสดงความเห็นว่า สามารถขายข้าวค้างสต๊อกนี้ให้แก่ประเทศไนจีเรียได้ และยังได้แสดงผลการตรวจสอบข้าวล่าสุดของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ยืนยันว่า มีสารอาหารในข้าวค้างสต๊อกครบถ้วนไม่พบสารพิษอะฟลาท็อกซิน พบเพียงสิ่งมีชีวิตและชิ้นส่วนของแมลง
ความคิดเห็นของนักการเมือง และผลการตรวจสอบข้าวดังกล่าว ได้สร้างความมึนงง และหาวเรอให้แก่สังคมไทยเป็นอย่างมาก จนเกิดความสงสัยว่า ความเห็นของกรมนี้ จะเชื่อถือได้แค่ไหน และถือเป็นการอุ้มรัฐบาลหรือไม่ ทำไมไม่มีผลของการตรวจสอบขององค์กรเอกชนที่เชื่อถือได้ มาแสดงประกอบ ตลอดจนการเก็บตัวอย่างข้าว เพื่อนำมาตรวจสอบเชื่อถือได้ขนาดไหน
ล่าสุด มีคำถามว่า รัฐบาลไทยได้เคยถามความคิดเห็นของชาวไนจีเรีย ที่ถูกยัดเยียดขายข้าวค้างสต๊อก 10 ปี หรือไม่
หนังสือพิมพ์ไนจีเรีย Business Day และเว็บไซต์ ไนจีเรีย Legit.ng ได้เสนอข่าวว่านักวิชาการทางด้านอาหารของไนจีเรียมีความเห็นว่า ข้าวที่เก็บนานเกินกว่า 5 ปี อาจเสื่อมคุณภาพ และเสี่ยงที่จะได้รับสารพิษจากสารเคมี ที่ใช้ในการรักษาคุณภาพ
เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในประเทศไนจีเรียกันมากว่า นักธุรกิจผู้นำเข้าข้าวของประเทศไนจีเรีย และเป็นลูกค้ารายใหญ่ของประเทศไทย กำลังพิจารณาจะหาแหล่งซื้อข้าวที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้จากประเทศอื่น ที่ไม่ใช่ประเทศไทย
รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไทย ก่อนจะพูดและแสดงความคิดเห็นอะไร ควรคิดอย่างน้อย 2 ครั้ง เพื่อผลประโยชน์ของประเทศไทย จะดีกว่าไหม ?
…………..