ดร. รุจิระ บุนนาค
คอลัมน์ แนวหน้าออนไลน์ กฎ กติกา ธุรกิจ
เผยแพร่ : วันศุกร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2567
มาตรการปราบปรามบัญชีม้าของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมด้วยการกำหนดให้โดยหมายเลขโทรศัพท์ที่ใช้ในซิมเครือข่าย จะต้องตรงกับหมายเลขที่ให้ไว้กับบัญชีโมบายแบงก์กิ้ง มิฉะนั้นจะไม่สามารถทำธุรกรรมโอนเงินในบัญชีธนาคารโดยใช้โมบายแบงก์กิ้ง จะมีผลบังคับใช้ภายในวันที่ 27 พฤษภาคม 2567 ได้สร้างความสับสน และโกลาหลแก่ผู้คนที่ใช้โมบายแบงก์กิ้งกันอย่างมาก เพราะเป็นมาตรการที่ประกาศขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เจตนารมณ์ของมาตรการนี้ถือเป็นเรื่องที่ดี เป็นการสกัดกั้นการใช้บัญชีม้าและการใช้โมบายแบงก์กิ้งควบคู่กัน ที่สร้างความเสียหาย ให้แก่ผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงโดยวิธีการต่างๆ ให้โอนเงินแก่มิจฉาชีพ
มูลค่าความเสียหายจากการหลอกลวง ให้โอนเงินผ่านโมบายแบงก์กิ้ง มีมูลค่าสูงถึง 100-150 ล้านบาท ต่อวัน, หรือ 4,000 ล้านบาท ต่อเดือน,
หรือ 50,000 ล้านบาท ต่อปีจึงถือเป็นเรื่องเร่งด่วน ที่ต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น แต่มาตรการดังกล่าวที่ประกาศ ออกมาโดยกะทันหัน และไม่มีความชัดเจน ทำให้ผู้ใช้โมบายแบงก์กิ้ง เกิดความสับสน ไม่มั่นใจ และชะงักงัน ในการใช้โมบายแบงก์กิ้ง เนื่องจากผู้ใช้งานโมบายแบงก์กิ้งที่มีอยู่ในประเทศไทยถึง 108,363,900 บัญชี (ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย เดือนกุมภาพันธ์ 2567)ส่วนหนึ่งผู้ที่ใช้โมบายแบงก์กิ้ง ที่มีชื่อเป็นเจ้าของซิมโทรศัพท์มือถือ และผูกหรือใช้ร่วมกับโมบายแบงก์กิ้ง มีชื่อไม่ตรงกับบัญชีโมบายแบงก์กิ้ง
เหตุที่เป็นเช่นนั้น อาจเป็นไปได้ว่า พ่อแม่ซื้อโทรศัพท์มือถือให้ลูกใช้ แต่พ่อแม่มีชื่อเป็นเจ้าของซิมโทรศัพท์มือถือ และลูกเปิดใช้บริการโมบายแบงก์กิ้งผ่านซิมมือถือนั้น, ในทางกลับกันอาจเป็นกรณีที่ลูกหลานซื้อโทรศัพท์มือถือ ให้พ่อแม่ปู่ย่าตายายใช้ แต่ลูกหลาน มีชื่อเป็นเจ้าของซิมโทรศัพท์มือถือ พ่อแม่ปู่ย่าตายายไปเปิดใช้บริการโมบายแบงก์กิ้ง, หรือกรณีสามีภรรยา ที่ซื้อโทรศัพท์มือถือให้กันใช้ และคนหนึ่งเป็นเจ้าของซิมโทรศัพท์มือถือ แต่อีกคนได้เปิดใช้บริการโมบายแบงก์กิ้ง เหตุผลหนึ่งที่บุคคลอื่นในครอบครัวเป็นเจ้าของซิมโทรศัพท์มือถือ เพราะต้องการรับผิดชอบจ่ายค่าโทรศัพท์มือถือให้คนใกล้ตัว
เมื่อมีมาตรการดังกล่าวประกาศออกมา การจะโอนชื่อเจ้าของซิมโทรศัพท์มือถือ ให้ตรงกับคนในครอบครัวใช้โมบายแบงก์กิ้งในทันที อาจทำให้เสียประโยชน์โดยไม่จำเป็น เช่น การได้รับการส่งเสริมการขายหรือโปรโมชั่นลดราคาโทรศัพท์มือถือและยังผ่อนราคาไม่หมด หากเปลี่ยนชื่อเจ้าของซิมกะทันหัน จะไม่ได้ส่วนลดนั้นและต้องจ่ายคืนส่วนลดให้กับบริษัทมือถือ, คะแนนสะสมที่มีอยู่เดิมอาจถูกยกเลิก เมื่อโอนชื่อเจ้าของซิมโทรศัพท์มือถือกะทันหัน
หลังเกิดความสับสนอลหม่านอยู่หลายวันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้ให้ความกระจ่างในภายหลังว่ามาตรการดังกล่าวยังไม่มีผลใช้บังคับทันที กสทช. และธนาคารจะร่วมกันตรวจสอบรายชื่อ ผู้เป็นเจ้าของซิมโทรศัพท์มือถือ และเจ้าของบัญชีโมบายแบงก์กิ้งว่าตรงกันหรือไม่ ในระยะเวลา120 วัน หากไม่ตรงกันจะให้ชี้แจงและยืนยันตัวตนโดยมีข้อยกเว้นว่า อนุญาตให้ในกรณีที่เป็นบุคคลในครอบครัวเดียวกัน หรือเป็นเจ้าของนิติบุคคล
กรณีที่ตรวจสอบแล้วพบปัญหา จะแจ้งให้เจ้าของบัญชีโมบายแบงก์กิ้ง ผ่านแอปพลิเคชั่นธนาคารให้มายืนยันตัวตนกับธนาคาร หากไม่มายืนยันตัวตน หรือไม่ชี้แจง จะส่งเรื่องให้ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตรวจสอบ
การกำหนดมาตรการที่ชัดเจน และให้เวลาในการตรวจสอบพอสมควร ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่มีปัญหาเพียงว่า ทำไมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและมีอำนาจ จึงไม่ได้ประชุมระดมความคิด กำหนดมาตรการที่ชัดเจนตั้งแต่แรก ต้องรอให้เกิดความสับสนและกลายเป็นปัญหาเสียก่อน แล้วจึงออกมาตรการเสริมเพื่อให้มีความชัดเจน
สิ่งที่เกิดขึ้น สะท้อนให้เห็นการทำงานแบบคนไทย ที่ไม่ได้วางแผนแบบบูรณาการที่ชัดเจนรอให้เกิดปัญหาแล้วค่อยแก้ จนแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เก่ง ที่สุดในโลก
………………………