ดร. รุจิระ บุนนาค
7 มิถุนายน 2564
ปัจจุบัน ประชาชนส่วนใหญ่ประสบปัญหาในเรื่อง ปากท้อง เป็นเหตุให้มีรายได้ลดลง แต่มีรายจ่ายประจำ และมักจะประสบปัญหาเมื่อถูกทวงถามหนี้ที่ค้างชำระ ไม่ว่าจะเป็น หนี้จาก การกู้ยืมเงิน สินเชื่อ หนี้บัตรเครดิต หนี้ค่าบริการทั้งหลาย ได้แก่ ค่าโทรศัพท์มือถือ ค่าอินเตอร์เน็ต ค่าบริการจากการสมัครสมาชิกต่างๆ
การทวงถามหนี้ตามกฎหมาย จะถูกควบคุมและต้องปฏิบัติตาม พระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 จึงทำให้ลูกหนี้ และผู้ที่แสดงความคิดเห็นบางราย เข้าใจผิดว่า หากเป็นหนี้จำนวนไม่มาก เช่น หลักพันต้นๆ ไม่จำเป็นต้องชดใช้หนี้ เพราะกฎหมายอนุญาตและให้ความคุ้มครองไว้
นับว่าเป็นความเข้าใจที่ผิด และไม่ตรงต่อความเป็นจริง เพราะโดยหลักของกฎหมาย เมื่อมีหนี้ ลูกหนี้ต้องชำระหนี้
กรณีที่ลูกหนี้ ไม่ชำระหนี้ จะเป็นเหตุให้ถูกเจ้าหนี้ฟ้องเป็นคดีความในศาล
ตัวอย่างเช่น ในยุคดิจิทัล ลูกหนี้ที่ใช้บริการที่เป็นพวกบริการสื่อสาร แล้วค้างชำระเงิน จะเป็นจำนวนเงินมากหรือน้อยหลักร้อย หรือ หลักพันก็ตาม ก็จะต้องถูกฟ้องคดีตามกฎหมาย ให้ชำระหนี้ นอกจากนั้นก็ยังต้องถูกเรียกให้ชำระค่าปรับด้วย เช่น ค่าปรับค่าเครื่องที่เกินกำหนดระยะที่ต้องชำระ, ค่าอุปกรณ์ที่ไม่ยอมส่งคืน
ยิ่งไปกว่านั้น ในกรณีที่ลูกหนี้ใช้บริการหลายประเภทพร้อมกัน จากผู้ให้บริการรายเดียวกัน ลูกหนี้ยังจะเสียสิทธิในการซื้อสินค้าและสมัครบริการใหม่, มีชื่อติดแบล็คลิสต์ ในทุกช่องทางของผู้ให้บริการ, ถูกเรียกเก็บดอกเบี้ยผิดนัดชำระ และถูกเรียกค่าทวงถาม
ทางที่ดี เมื่อมีหนี้ต้องชำระ หากติดขัดมีปัญหา ในฐานะทนาย ขอแนะนำให้พูดคุยและเจรจากับเจ้าหนี้โดยตรง ขอผ่อนชำระ ไม่ควรใช้วิธี หลบหน้า หลีกเลี่ยงการติดต่อ
การเจรจา ประนีประนอม เพื่อตกลงหาทางออก เป็นวิธีการที่ดีที่สุด เมื่อมีหนี้ เพราะจะช่วยให้ปัญหาหนี้ไม่ลุกลามบานปลาย