Hope Well…เป็น….Hope Less

ลงพิมพ์ในแนวหน้า : 26 มีนาคม 2564

ดร. รุจิระ บุนนาค

26 มีนาคม 2564

ย้อนไปช่วงปีพ.ศ.2533 มีการเปิดประมูลโครงการถนนและทางรถไฟยกระดับในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ที่มีนายมนตรี พงษ์พานิช ในรัฐบาลนายชาติชาย ชุณหะวัณโดยผู้ชนะการประมูลคือ บริษัท โฮปเวลล์โฮลดิ้งสัญชาติฮ่องกงระยะเวลาสัมปทาน 33 ปีโครงการก่อสร้างประกอบด้วยโครงสร้างยกระดับทางรถไฟขึ้นไปเหนือผิวการจราจร เพื่อลดจุดตัดกับทางรถยนต์ (Grade Crossing) และลดปัญหาการให้รถยนต์ต้องหยุดรอรถไฟ รวมเป็นระยะทาง 60 กิโลเมตร ใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 80,000 ล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้าง 8 ปีผลตอบแทนรายปีรวม 30 ปี เป็นเงิน 53,810 ล้านบาท บริษัทโฮปเวลล์จะได้รับสิทธิ์สร้างถนนยกระดับเรียกเก็บค่าผ่านทางคู่ขนานกับทางรถไฟยกระดับ และได้รับสัมปทานเดินรถบนทางรถไฟยกระดับด้วย นอกจากนี้ยังสามารถใช้ประโยชน์ในพื้นที่ใต้ทางรถไฟยกระดับ ตลอดจนอสังหาริมทรัพย์สองข้างทางรวมเนื้อที่ประมาณ 600 ไร่

หลังจากที่การก่อสร้างตามโครงการดำเนินการได้ 7 ปี ได้เกิดข้อพิพาทขึ้น การก่อสร้างดำเนินการล่าช้ากว่าแผนงานอย่างมาก  ตามแผนกำหนดไว้ร้อยละ 89.75แต่การก่อสร้างทำได้เพียงร้อยละ  13.77 บริษัท โฮปเวลล์ อ้างเหตุที่ก่อสร้างล่าช้าเนื่องจากรฟท. ไม่ส่งมอบที่ดินให้ได้ตามข้อตกลง ซึ่งเป็นช่วงที่ บริษัทขาดสภาพคล่องทางการเงินเเละปัญหาเศรษฐกิจหลายด้านทำให้โครงการต้องล้มเลิก หยุดการก่อสร้างอย่างสิ้นเชิง ในช่วงปีพ.ศ.2540-2541 กระทรวงคมนาคมจึงได้บอกเลิกสัญญาสัมปทานอย่างเป็นทางการในรัฐบาลนายชวน หลีกภัย เมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2541 โดยให้ถือว่าโครงการทุกอย่างที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จ ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของรฟท. บริษัทโฮปเวลล์ จึงเรียกร้องค่าเสียหาย โดยดำเนินการร้องขอต่ออนุญาโตตุลาการให้กระทรวงคมนาคม และรฟท. รับผิดชดใช้ค่าเสียหายจากการบอกเลิกสัญญาสัมปทานเป็นเงินจำนวน 56,000 ล้านบาท ในขณะที่รฟท. เรียกร้องค่าเสียโอกาสในการใช้ประโยชน์จากโครงการเป็นเงินกว่า 200,000 ล้านบาท

อนุญาโตตุลาการ (Arbitration) คือ การระงับข้อพิพาททางเลือกนอกศาล เป็นกระบวนการที่คู่พิพาทตกลงกันให้บุคคลที่สามที่มีความเป็นกลางและเป็นอิสระ และมีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องที่พิพาทนั้นเป็นผู้ทำการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทดังกล่าว โดยคู่พิพาทจะต้องยอมรับคำวินิจฉัยชี้ขาดและผูกพันที่จะปฏิบัติตามคำชี้ขาดนั้น

ต่อมาในวันที่ 8 พฤศจิกายน  พ.ศ. 2551 คณะอนุญาโตตุลาการได้วินิจฉัยชี้ขาดให้กระทรวงคมนาคม และรฟท. คืนเงินชดเชยให้แก่บริษัท โฮปเวลล์เป็นเงิน 11,888 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีให้แก่โฮปเวลล์ จากการบอกเลิกสัญญาไม่เป็นธรรมกระทรวงคมนาคมและรฟท.จึงได้ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลาง เพื่อขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ต่อมาเมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2557 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำวินิจฉัยชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการซึ่งหมายความว่า กระทรวงคมนาคมและ รฟท. เป็นฝ่ายชนะคดี ไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บริษัทโฮปเวลล์

บริษัทโฮปเวลล์ จึงได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองกลางที่สั่งเพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการต่อศาลปกครองสูงสุด ซึ่งต่อมา เมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2562 ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษายืนตามคำวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการ ซึ่งหมายความว่า บริษัทโฮปเวลล์ เป็นฝ่ายชนะคดี และคำวินิจฉัยชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน กระทรวงคมนาคมและรฟท. ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่บริษัทโฮปเวลล์ เพราะการบอกเลิกสัญญาเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และต่อมาวันที่ 22พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 รฟท.ยื่นเสนอคณะรัฐมนตรีงดจ่ายค่าชดเชยค่าโง่และประสงค์สู้คดีต่อ
แต่เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 ศาลปกครองสูงสุดไม่รับพิจารณาคดีโฮปเวลล์ใหม่เพราะไม่เข้าเกณฑ์ที่จะขอพิจารณาคดีใหม่ได้ 

ต่อมาเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 กระทรวงคมนาคมและรฟท. ได้ยื่นเรื่องให้ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า มติศาลปกครองสูงสุดครั้งที่ 18/2545 วันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 ว่าถูกกฎหมายหรือไม่ เกี่ยวกับระยะเวลาการฟ้องคดีปกครองที่กำหนด ที่กำหนดให้นับอายุความฟ้องคดีปกครองตั้งแต่วันที่ศาลปกครองเปิดทำการ
คือวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2544 มาใช้อ้างอิงในคดีสัญญาสัมปทานโครงการโฮปเวลล์ เข้าข่ายเป็นการขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่

จนเมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2564 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 2 ว่าศาลปกครองสูงสุดนับอายุความคดีโฮปเวลล์ผิดกฎหมาย คือนับจากวันที่ศาลปกครองเปิดทำการ ซึ่งความเป็นจริงควรนับจากวันที่ “รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี”

นอกจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญยังวินิจฉัยอีกว่า มติที่ศาลปกครองสูงสุดนำมาที่ใช้อ้างอิงในการพิจารณาคดีนั้น ไม่ได้ส่งให้สภาผู้แทนราษฎรตรวจสอบและไม่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา จึงนำมาบังคับใช้ไม่ได้

อาศัยเหตุเหล่านี้  กระทรวงคมนาคมและรฟท. จึง ยื่นรื้อคดีใหม่ได้

หลังจากนี้ศาลรัฐธรรมนูญ จะส่งคำวินิจฉัยฉบับสมบูรณ์ให้แก่ผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อแจ้งกลับไปยังกระทรวงคมนาคมและรฟท. สองหน่วยงานนี้ จะนำคำวินิจฉัยซึ่งถือว่าเป็นหลักฐานข้อมูลใหม่ ไปยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อขอรื้อฟื้นคดีจ่ายค่าเสียหายโฮปเวลล์
               ทั้งนี้ การที่กระทรวงคมนาคมและรฟท. จะต้องจ่ายค่าเสียหายหรือไม่ ต้องรอผลคำวินิจฉัยของศาลปกครองอีกครั้งหนึ่ง

หากผลคำวินิจฉัยถึงที่สุดออกมาว่า กระทรวงคมนาคมและรฟท. ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายนับหมื่นล้านบาทให้แก่บริษัทโฮปเวลล์ ย่อมสร้างความปิติยินดีให้แก่ประชาชนชาวไทยเป็นอย่างยิ่ง เพราะเงินค่าเสียหายที่จะต้องจ่าย ล้วนเป็นเงินมาจากภาษีอากรจากประชาชนในยามเศรษฐกิจตกยากนี้

แต่ประชาชนส่วนใหญ่มึนงงกับเหตุผลและหลักกฎหมาย ที่อ้างในคำพิพากษาของศาลต่างประเภทกัน ที่ให้ผลคำพิพากษาที่แตกต่างกัน

เหนือสิ่งอื่นใด ประชาชนธรรมดาๆ หวังแต่เพียงให้ ความยุติธรรมอยู่เหนือความอยุติธรรม

Marut Bunnag Copyright @2020

 


เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า
Cookie policy for development and experience and the experience of use that has previously been studied in detail in the policy and can be controlled by controlling the installation.setting

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
You can choose your cookie settings by turning them on/off. Cookies in each category can be customized according to your needs, except for essential cookies.

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า

Policy

1. Send only queries related to laws only.
2. Do not use rude words, or words which implicate other persons.
3. The sender of a message to the legal board must be responsible for his/her statement.

เงื่อนไขการใช้งานกระทู้คำถาม

1.สำหรับส่งคำถามที่เกี่ยวกับข้อกฎหมายเท่านั้น
2.ห้ามมีคำหยาบคาย พาดพิงบุคคลอื่น ทำให้เกิดความเสียหาย
3.ผู้ที่ส่งคำถามลงในกระดานกฏหมาย ต้องมีความรับผิดชอบต่อข้อความนั้น