ลงพิมพ์ในแนวหน้า : 2 กรกฎาคม 2564
ดร. รุจิระ บุนนาค
2 กรกฎาคม 2564
ประชามติในทางรัฐธรรมนูญ หมายถึง กระบวนการในการแสดงความเห็นของประชาชนด้วยการลงคะแนนเสียง เพื่อตัดสินใจว่าจะให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบในเรื่องที่มีความสำคัญ และมีผลกระทบต่อประโยชน์ได้เสียของประเทศชาติ หรือกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ก่อนที่จะนำมติหรือการตัดสินใจนั้นออกเป็นกฎหมายหรือนำไปปฏิบัติเพื่อบังคับใช้เป็นการทั่วไป
เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2564 รัฐสภาซึ่งประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ได้ลงมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ เป็นผลให้ร่างกฎหมายฉบับนี้ จะนำขึ้นทูลเกล้าเพื่อให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธย เพื่อประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป
สาระสำคัญของร่างกฎหมายฉบับนี้ สรุปได้ ดังนี้
1. เปิดทางให้ทำประชามติได้ 5 กรณี ได้แก่ (1) การแก้ไขรัฐธรรมนูญ (2) เมื่อคณะรัฐมนตรี เห็นว่ามีเหตุอันสมควร (3) กฎหมายกำหนดต้องมีการออกเสียง (4) รัฐสภามีมติเห็นว่าเป็นเรื่องที่มีเหตุสมควรที่จะให้มีการออกเสียงและได้แจ้งเรื่องให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการ (5) ประชาชนเข้าชื่อ 50,000 ชื่อ เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบในการออกเสียง
2. กำหนดให้ใช้เขตจังหวัด เป็นเขตออกเสียงประชามติ แบบเดียวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
3. เปิดทางให้ใช้สิทธิออกเสียงประชามตินอกราชอาณาจักรได้เป็นครั้งแรก 4. เปิดทางให้ลงคะแนนผ่านไปรษณีย์ และลงคะแนนด้วยเครื่องลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์
5.ในการผ่านประชามติ ต้องใช้คะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียง และมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งผู้มาใช้สิทธิออกเสียง
6. กำหนดให้ผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ ต้องมีสัญชาติไทย, อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ในวันออกเสียง และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตออกเสียงไม่น้อยกว่า 90 วัน
7. กำหนดให้เผยแพร่สาระสำคัญ/เรื่องที่จะให้ทำประชามติ ให้ประชาชนรับทราบผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศภายใน 15 วันนับแต่วันประกาศให้มีการออกเสียง และจัดทำเอกสารเผยแพร่ข้อมูลส่งเจ้าบ้านทราบไม่น้อยกว่า 30 วัน
8. ประชาชน พรรคการเมือง องค์กรเอกชน และกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม มีสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญในการจัดกิจกรรมรณรงค์เพื่อการออกเสียงได้โดยเสรีและเสมอภาค ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด
9. กำหนดความผิดและบทลงโทษต่าง ๆ เช่น
9.1 กรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ตำแหน่งหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ อันเป็นเหตุให้การออกเสียงประชาติไม่เป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรม ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-3 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 3 ปี
9.2 กรณีขัดขวางการปฏิบัติงานของคณะกรรมการ หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการออกเสียงประชามติ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
9.3 กรณีขัดขวางเพื่อให้การออกเสียงไม่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย หรือให้/เสนอให้/สัญญาว่าจะให้/จัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นอันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด เพื่อจะจูงใจให้ผู้มีสิทธิออกเสียง หรือหลอกลวง/ บังคับ/ขู่เข็ญ/ใช้อิทธิพลคุกคามเพื่อให้ผู้มีสิทธิออกเสียงไม่ไปใช้สิทธิออกเสียง หรือออกเสียงอย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่ออกเสียง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท
9.4 กรณีเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ หรือจัดให้มีการเล่นการพนันขันต่อใด ๆ อันมีผลเป็นการจูงใจให้ผู้มีสิทธิออกเสียง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
10. ห้ามเผยแพร่ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน (โพล) เกี่ยวกับการออกเสียงในเวลา 7 วันก่อนวันออกเสียง จนสิ้นสุดเวลาออกเสียง
ปัญหาสำคัญของการลงประชามติอยู่ที่ว่า การตั้งประเด็นในการลงประชามติ และประชาชนผู้มีสิทธิลงประชามติ มีข้อมูลเพียงพอที่จะตัดสินใจ และเข้าใจประเด็นในการลงประชามตินั้นมากน้อยเพียงใด ?
กรณีศึกษาที่น่าสนใจได้แก่ การลงประชามติเพื่อให้ความเห็นชอบ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ประชาชนจำนวนไม่น้อยในขณะที่ลงประชามตินั้น ไม่มีข้อมูลและไม่เคยทราบว่า วุฒิสมาชิกมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรี แม้สิทธินี้จะมีอยู่เพียงชั่วคราวตามบทเฉพาะกาล
แต่กลับมาทราบภายหลัง เมื่อนักวิชาการและผู้ทรงคุณวุฒิ ได้อธิบายและแสดงความคิดเห็นผ่านทางโทรทัศน์ หลังจากที่การลงการประชามติเสร็จสิ้นไปแล้ว
หากข้อเท็จจริงนี้ปรากฏและเป็นที่เข้าใจอย่างชัดเจน ก่อนการลงประชามติ ผลการลงประชามติเห็นชอบรัฐธรรมนูญแห่งราช อาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 อาจไม่เป็นไปตามที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ไม่ได้กำหนดโทษ กรณีเจ้าหน้าที่ตั้งประเด็นในการลงประชามติ ที่อาจทำให้ประชาชนสับสนหลงผิด จนผลการลงประชามติผิดเพี้ยน
กฎหมายกำหนดโทษไว้แต่เฉพาะกรณีที่ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เป็นเหตุให้การออกเสียงไม่เป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรมเท่านั้น ซึ่งต้องออกแรงและใช้พยานหลักฐานในการนำสืบและพิสูจน์มากมาย
กฎหมายการลงประชามติฉบับนี้ จะมีประสิทธิภาพ ใช้ได้ผลกับการเมืองไทยได้จริงหรือไม่ เป็นสิ่งที่ต้องทดลองใช้ และจับตามองกันต่อไป