ลงพิมพ์ในแนวหน้า : 14 พฤษภาคม 2564
ดร. รุจิระ บุนนาค
14 พฤษภาคม 2564
ย้อนไป เมื่อวันที่ 27 พ.ค. 2563 ส.ส.พรรคก้าวไกล 54 คน และ ส.ส.ฝ่ายค้าน ได้ลงชื่อ ขอให้นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย 1.สมาชิกภาพของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สิ้นสุดลงหรือไม่ จากกรณีการถือหุ้นในตลาดคลองเตย และ 2.กรณีที่เคยถูกศาลพิพากษาในคดีที่เกี่ยวพันกับยาเสพติดที่ประเทศออสเตรเลีย
ทั้ง 2 กรณีนี้ อาจทำให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ขาดคุณสมบัติรัฐมนตรี กรณีแรกศาล
รัฐธรรมนูญมีคำสั่งที่ 48/2563 เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2563 ไม่รับคำร้องไว้พิจารณา โดยให้เหตุผลว่า กรณีที่นางอริสรา พรหมเผ่า ภริยาของร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ถือหุ้นในบริษัท ตลาดคลองเตย (2551) จำกัด ซึ่งเป็นคู่สัญญาเช่าพื้นที่บริเวณตลาดคลองเตย เพื่อลงทุนบริหารจัดการพัฒนาพื้นที่เป็นตลาดและเป็นส่วนประกอบของตลาดกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย เป็นระยะเวลา 10 ปี ซึ่งเอกชนรายอื่น สามารถประกอบกิจการตลอดในพื้นที่ใกล้เคียงได้ จึงไม่มีลักษณะผูกขาดตัดตอนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 วรรคหนึ่ง (2) ที่กำหนดให้ ส.ส. ต้องไม่เข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ อันมีลักษณะเป็นการผูกขาดตัดตอน หรือเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม และมาตรา 184 วรรคสาม ที่กำหนดให้นำมาตรา 184 วรรคหนึ่ง (2) ไปใช้กับคู่สมรสของส.ส. ด้วย มูลกรณีจึงไม่ได้เป็นการกระทำที่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 184 ที่จะส่งผลให้สมาชิกภาพของส.ส. สิ้นสุดลง ตามมาตรา 101 (7) ดังนั้น ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย
สำหรับกรณีที่สอง เมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2564 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัย กรณีที่ประธานรัฐสภาส่งความเห็นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 54 คน ขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 วรรคหนึ่ง และมาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่าสมาชิกภาพ ส.ส. ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (10) และความเป็นรัฐมนตรีของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (6) และมาตรา 98 (10) หรือไม่ จากกรณีเคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายอันถึงที่สุดว่าได้กระทำความผิดในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้าซึ่งยาเสพติด
โดยศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยว่า คำพิพากษา ย่อมหมายถึงคำพิพากษาของรัฐนั้น ไม่
หมายถึงคำพิพากษาของศาลต่างประเทศ แม้ข้อเท็จจริงผู้ถูกร้องเคยต้องคำพิพากษาของศาลรัฐ
นิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย ก่อนรับเลือกตั้งเป็นส.ส. จึงไม่ถือเป็นคำพิพากษาของศาลไทย ไม่ขาดคุณสมบัติต้องห้ามในการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) หรือ รัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
สำหรับคดียาเสพติดที่ประเทศออสเตรเลีย ศาลแขวงดาวนิ่งในนครซิดนีย์ วินิจฉัยว่า
จากสำนวนข้อเท็จจริงทางคดีระบุว่า มนัสถูกจับเมื่อวันที่ 15 เม.ย. 2536 ที่โรงแรมพาลาจ พร้อมชาวออสเตรเลีย 2 คน และระบุว่า เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2536 มนัส โบพรหม (ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ในเวลานั้น) ยอมรับสารภาพว่า มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องกับการนำเข้ายาเสพติดในปริมาณเพื่อการค้าเข้าไปยังออสเตรเลีย และเมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2537 ศาลได้มีคำพิพากษา ลงโทษจำคุก 6 ปี โดยให้เริ่มนับวันรับโทษตั้งแต่วันที่ถูกจับกุม และจะไม่ปล่อยตัวจนกว่าจะรับโทษไปแล้ว 4 ปี จากนั้นให้เนรเทศออกนอกประเทศ
อย่างไรก็ตาม ด้วยความเคารพคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มีนักวิชาการหลายท่านที่
แสดงความเห็น กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญปฏิเสธไม่ยอมรับคำพิพากษาศาลต่างประเทศในการพิจารณาเรื่องคุณสมบัติของรัฐมนตรี โดยยกเหตุผลเรื่องอำนาจอธิปไตยของศาลไทย ย่อมไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจตุลาการของประเทศอื่น ประเด็นนี้ไม่สอดคล้องกับระบบกฎหมายอาญาของไทย เพราะหลักกฎหมายอาญาของไทย มีหลักว่าด้วยการยอมรับคำพิพากษาของประเทศอื่น หากศาลประเทศนั้น พิพากษาให้ลงโทษและผู้ต้องคำพิพากษาได้รับโทษจนพ้นโทษแล้ว เพื่อที่จะไม่ลงโทษซ้ำต่อการกระทำที่ถูกลงโทษไปแล้ว ทั้งกฎหมายยาเสพติดของไทย นำหลักดังกล่าวใช้ โดยไม่ต้องมีสนธิสัญญายอมรับคำพิพากษาระหว่างกัน
ในขณะที่ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ อดีตกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และอดีตประธานแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลฎีกา ท่านให้ความรู้ว่า หากศึกษา คำปรารภรัฐธรรมนูญปี 2560 ตอนหนึ่ง “เพื่อมิให้ผู้บริหารที่ปราศจากคุณธรรมจริยธรรม และธรรมาภิบาลเข้ามามีอำนาจปกครองบ้านเมือง หรือใช้อำนาจตามอำเภอใจ”
คำปรารภข้างต้น ชี้ชัดว่า เจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ ออกแบบมาเพื่อตรวจสอบ และขจัดผู้
ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่มีปัญหาด้านคุณธรรมจริยธรรม และธรรมาภิบาล มิให้มีอำนาจปกครองบ้านเมือง อันเป็นปัญหาร้ายแรงที่สุดตลอดมา ในการปกครองบ้านเมืองปัญหาด้านจริยธรรมของผู้บริหาร ที่ขาดความเชื่อถือศรัทธาจากประชาชน แต่ไม่ยอมออกจากตำแหน่ง โดยอ้างประชาชนเป็นผู้เลือกให้ทำหน้าที่ ทำให้เกิดวิกฤติศรัทธา ล้มเหลวการบริหารราชการแผ่นดิน
นอกจากนี้ คณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 11 และคณะที่ 13 เคยประชุมร่วมกันและมี
ความเห็นตามบันทึกกฤษฎีกาที่ 127/2563 ว่า กรณีที่ใช้ผลของคำพิพากษาของศาลต่างประเทศมารับฟังเป็นพยานหลักฐานในฐานะข้อเท็จจริง มิใช่มาบังคับโทษในประเทศไทย ย่อมเป็นสิ่งที่กระทำได้
การค้ายาเสพติด คือว่าเป็นอาชญากรรมร้ายแรงระดับโลก ที่ทั่วโลกต่างหาทางป้องกันที่จะไม่ให้ยาเสพติดทะลักเข้าประเทศตนเอง เป็นภัยคุกคามที่ทุกชาติต้องให้ความร่วมมือกัน การจะนำบุคคลที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดมาดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมือง มีอำนาจในการบริหารงบประมาณ มีอำนาจสั่งการระดับประเทศนั้น ทำให้ประเทศต่างๆ ขาดความเชื่อมั่น
นักการเมืองและผู้นำในหลายประเทศได้ตัดสินใจลาออก หากต้องเผชิญวิกฤติศรัทธาจากประชาชน