ลงพิมพ์ในแนวหน้า : 21 พฤษภาคม 2564
ดร. รุจิระ บุนนาค
21 พฤษภาคม 2564
เมื่อกลางเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2564 ตำรวจกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้เปิดปฏิบัติการปิดเกมคนเหนือโลกจับกุมผู้ต้องหาเครือข่ายบริษัทหลอกลวงลงทุน ที่มีผู้เสียหายกว่า 1,000 ราย มูลค่าความเสียหายมากกว่า 1,000 ล้านบาท หลังกลุ่มผู้เสียหายเข้าเเจ้งความกับตำรวจกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ( ปอศ.) ว่านักธุรกิจชื่อดัง พร้อมพวก ร่วมกันตั้งบริษัทก่อนหลอกให้ลงทุนในหลายรูป อ้างว่าจะได้ผลตอบเเทนสูง ทำให้มีผู้หลงเชื่อตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก
สำหรับพฤติกรรมการหลอกลวงของกลุ่มผู้ต้องหามี 5 รูปเเบบ คือ 1. เปิดบริษัทท่องเที่ยว ชักชวนผู้เสียหายซื้อเเพกเก็จทัวร์ เเต่ไม่มีการจัดท่องเที่ยวจริง 2. ชักชวนนำเงินมาร่วมลงทุนในรูปเเบบสหกรณ์ อ้างให้เงินปันผลสูง เเต่ท้ายที่สุดกลับไม่มีการปันผล 3. ชักชวนซื้อ สินค้าเเบรนด์เนมผ่านออนไลน์ ไม่ได้จับสินค้าจริง โดยจะให้ซื้อจากบริษัทที่เป็นเครือข่ายผู้ต้องหา เเละอ้างว่าจะเป็นผู้ปล่อยเช่าให้เอง โดยจะให้ค่าตอบเเทน หรือเเบ่งเปอร์เซ็นต์ในราคาที่สูงเกินจริง 4.ชักชวนให้เอาเงินสดหรือทองคำ ร่วมลงทุนส่วนตัวกับผู้ต้องหา 5. ชักชวนให้ลงทุนซื้อทองคำจากร้านขายทอง แล้วนำทองคำมาลงทุนกับบริษัท
เหมือนดังเช่นกรณีอื่นที่ผ่านมา ผู้เสียหายได้รับเงินปันผล แต่ช่วงหลังบริษัทเริ่มบิดพริ้วไม่จ่ายเงินปันผล เมื่อกลุ่มผู้ต้องหาไม่สามารถให้ผลตอบเเทนหรือคืนเงินลงทุนตามที่ตกลงกันได้ ผู้เสียหายต่างได้พยายามติดตามทวงถามอยู่เรื่อยๆ เเต่กลับถูกบ่ายเบี่ยงเเละติดต่อไม่ได้ จึงรวมตัวกันเข้าเเจ้งความที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) เพื่อดำเนินคดีในข้อหา “ฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน”
ในช่วงแรก ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนตรงตามเวลา โดยการโอนเงินเข้าบัญชีของแต่ละคน ทำให้เกิดความเชื่อถือ ผู้ลงทุนจึงได้ชักชวนญาติพี่น้อง และเพื่อนมาร่วมลงทุนเพิ่มขึ้นอีก มีลักษณะเป็นกลุ่มๆ หรือเป็นสายๆ บางคนยอมนำเงินที่เก็บมาตลอดชีวิต มาลงทุน เพราะมองว่า ได้รับผลตอบแทนที่สูง ดีกว่าดอกเบี้ยในธนาคาร
สำหรับกรณีนักธุรกิจผู้มีชื่อเสียงนี้ ใช่ว่าจะมีชื่อเสียงในฐานะนักธุรกิจ ตามประวัติส่วนตัวเป็นถึงประธานโครงการระดับชาติ ทั้งผู้ร่วมก๊วนยังมีอาชีพเป็นถึงแพทย์หญิงยิ่งสร้างความเชื่อถือให้แก่ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อเป็นอย่างมาก ประกอบกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ธุรกิจหลายอย่างต่างหยุดชะงัก หลายคนถูกเลิกจ้าง หลายคนรายได้ลดลง ทำให้ต้องการเอาเงินเก็บที่มีไปลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง โดยไม่ต้องทำอะไร หรือที่เรียกกันในภาษาการเงินว่า Passive Income
ผู้เชื้อเชิญหรือผู้หลอกหลวงมักจะหว่านล้อมว่า จะนำเงินที่เรียกเก็บไปลงทุนตามรูปแบบที่กล่าวอ้าง จนมีคนหลงเชื่อ เป็นจำนวนมาก ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ได้นำเงินไปลงทุนแต่อย่างใด ที่ทำ คือ นำเงินของผู้ลงทุนรายหลังไปจ่ายเงินค่าตอบแทนให้กับผู้ลงทุนแรกๆ
แชร์แม่ชม้อย นับว่าเป็นเจ้าแรกของแชร์ลูกโซ่ในประเทศไทย เกิดขึ้นในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2520-2528 แม่ชม้อย หรือนางชม้อย ทิพย์โสหรือประเสริฐศรี ผู้ที่ทำงานอยู่ในการปิโตเลียมแห่งประเทศไทยหรือปตท. ซึ่งเป็นชื่อองค์กรสมัยนั้นเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ระดับกลาง แต่กลับเป็นผู้ที่มีคนนับหน้าถือตา ได้ชักชวนให้ลงทุนในแชร์น้ำมัน รูปแบบรถบรรทุกน้ำมัน คันละ 160,500 บาท จ่ายผลตอบแทนให้เดือนละ 12,000 บาท ในเวลานั้นมีผู้ร่วมลงทุนเป็นจำนวนมาก เรียกได้ว่าไปไหนมาไหนมีแต่คนพูดถึงแม่ชม้อย ใครมีมากสามารถลงทุนมาก จะซื้อเป็นสิบๆคัน หรือใครมีน้อยลงทุนน้อย เป็นเพียงล้อรถน้ำมัน จะเป็น 1 ล้อ หรือ 2 ล้อ ให้ผลตอบแทนร้อยละ 6.5 ต่อเดือน หรือร้อยละ 78 ต่อปี
ในขณะนั้นมีเพียงประมวลกฎหมายอาญา ในความผิดข้อหาฉ้อโกงประชาชน ที่ไม่มีความชัดเจนเพียงพอและอาจไม่สามารถเอาผิดกับนางชม้อยได้ โดยนางชม้อยอ้างว่าการระดมเงินหรือแชร์น้ำมันของนางชม้อย เพื่อไปค้าน้ำมัน และออกสัญญากู้ยืมให้ สัญญาดังกล่าวได้ตกลงจะจ่ายดอกเบี้ยหรือผลประโยชน์ให้แก่ผู้ให้กู้ยืมในอัตรา ร้อยละ 6.5 ต่อเดือน และเมื่อไม่มีการผิดสัญญากับใคร จึงไม่สามารถเอาผิดกับนางชม้อยได้ หรือหากมีการผิดสัญญา อาจต้องรับผิดทางแพ่งเท่านั้น รัฐบาลที่มีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น จึงเห็นว่าการระดมเงินดังกล่าว เป็นภัยร้ายแรงต่อประชาชนที่จะต้องสูญเสียเงินจากการถูกหลอกลวง และเป็นภัยต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ จึงเสนอพ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนพ.ศ. 2527 ต่อสภาผู้แทนราษฎร โดยได้ประกาศและมีผลใช้บังคับวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2527
คดีแม่ชม้อยมีผู้เสียหายจำนวน 13,248 คน ให้กู้ยืมเงิน 23,519 ครั้ง รวมเป็นเงิน 4,043,997,795 บาท และผู้เสียหายหลังพ.ร.ก.การกู้ยืมเงินฯ ประกาศใช้บังคับ (ตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2527 ถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2528) เป็นผู้เสียหายจำนวน 2,983 คน ให้กู้ยืมเงิน 3,641 ครั้ง รวมเป็นเงิน 510,584,645 บาท
ในที่สุด บรรดาแชร์ต่างๆในยุคนั้น ต้องถูกดำเนินคดีโดยพ.ร.ก.การกู้ยืมเงินฯ ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษ ต้องรับผิดทางอาญา บรรดาผู้ก่อตั้งแชร์ ต่างถูกดำเนินคดีต้องโทษจำคุก สำหรับกรณีของนาย เอกยุทธ อัญชันบุตร เจ้ามือแชร์ชาร์เตอร์ ได้หลบหนีคดีไปต่างประเทศ จนคดีหมดอายุความ จึงได้กลับเข้ามาประเทศไทย และถูกฆาตกรรมในภายหลัง
สังคมปัจจุบันมีช่องทางโซเชียลมีเดีย ที่เข้าถึงผู้ลงทุนได้อย่างง่ายดาย ทำให้ชักชวนผู้ลงทุนได้โดยง่าย ผู้คนจึงตกเป็นเหยื่อและมีมูลค่าความเสียหายเป็นจำนวนมาก
คดีแชร์ลูกโซ่ การเชื้อเชิญให้ร่วมประกอบธุรกิจแบบลงทุนและได้รับผลตอบแทนหลายเท่าตัว คงไม่มีวันหมดไป คนที่คิดจะโกงต่างหากลยุทธ์ต่างๆ ดังนั้น พึงตระหนักอยู่เสมอว่า
การลงทุนในทุกรูปแบบต่างมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาก่อนลงทุน