ลงพิมพ์ในแนวหน้า : 28 พฤษภาคม 2564
ดร. รุจิระ บุนนาค
28 พฤษภาคม 2564
ย้อนไปเมื่อกลางปี พ.ศ. 2562 อาม่าเจ้าของกิจการบริษัทเพลงที่ ผลิตผลงานศิลปินลูกทุ่งในอดีต ได้เข้าร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมต่อกองปราบ กรณีที่ถูกพนักงานสาว ธนาคารแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียง โกงเงินไปจำนวน 13,550,000 บาท แต่ทางธนาคารจ่ายคืนเพียง 10 ล้าน ส่วนที่เหลืออีก 3 ล้านกว่า ให้ผู้เสียหายไปฟ้องร้องเอาเอง
เรื่องที่เกิดขึ้น อาม่าได้นำเงินไปฝากธนาคารแห่งหนึ่งร่วม 40 ปี กลายเป็นลูกค้าพิเศษหรือวีไอพี มีความคุ้นเคยกับพนักงานหญิงที่มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้จัดการระดับสาขาของธนาคาร ต่อมาช่วงปีพ.ศ. 2560 ผู้ช่วยผู้จัดการคนนี้ได้ย้ายไปอยู่อีกสาขา และได้ชักชวนให้อาม่าย้ายบัญชีมาที่สาขานี้ โดยแจ้งว่า ให้เปิดหลายๆบัญชี เพื่อจะได้ดอกเบี้ยสูงถึงร้อยละ 5.5 อาม่าจึงหลงเชื่อและได้เปิดบัญชี 11 บัญชี ยอดเงิน 13,550,000 บาท จนเมื่อต้นปี พ.ศ.2561 ผู้จัดการธนาคารสาขานี้โทรแจ้งว่า เจอสมุดบัญชีธนาคารอาม่าตกอยู่ที่ธนาคาร อาม่าจึงเอะใจ เพราะสมุดธนาคารทั้ง 11 เล่ม อยู่ที่ตน จึงไปตรวจสอบยอดเงินในบัญชีที่ธนาคาร พบว่าไม่มีข้อมูลการฝากเงินแต่อย่างใด
สมุดบัญชีที่อยู่กับอาม่า เป็นบัญชีปลอมที่ทำขึ้นมา ทำให้เงินฝากทั้งหมด ไม่เข้าธนาคาร แม้แต่บาทเดียว
ธนาคารได้ขอไกล่เกลี่ย และยอมคืนเงินให้ 10 ล้านบาท ที่เหลือ 3 ล้านกว่า ธนาคารไม่คืนให้อ้างว่า ตรวจสอบแล้วยอดไม่ตรงกัน ถ้าอยากได้ให้ไปฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเอง อาม่าจึงได้แต่งตั้งทนายความให้ฟ้องคดีธนาคาร
จนวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 ศาลได้ตัดสินให้ธนาคาร คืนเงินให้อาม่า 3,651,495.42 บาท
ธนาคารควรคืนเงินให้อาม่าตั้งแต่แรก การปล่อยให้เรื่องยืดเยื้อ ยิ่งกลายเป็นข่าว มีแต่ทำให้ธนาคารเสียชื่อเสียงและขาดความไว้วางใจจากผู้ฝากเงิน
สำหรับเรื่องการฝากเงิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ “มาตรา 672 ถ้าฝากเงิน ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้รับฝากไม่พึงต้องส่งคืนเป็นเงินทองตราอันเดียวกันกับที่ฝาก แต่จะต้องคืนเงินให้ครบจำนวน
อนึ่งผู้รับฝากจะเอาเงินซึ่งฝากนั้นออกใช้ก็ได้ แต่หากจำต้องคืนเงินให้ครบจำนวนเท่านั้น แม้ว่าเงินซึ่งฝากนั้นจะได้สูญหายไปด้วยเหตุสุดวิสัยก็ตาม ผู้รับฝากก็จำต้องคืนเงินเป็นจำนวนดั่งว่านั้น”
มาตรา 672 มีหลักการที่สำคัญ คือ เมื่อฝากเงินกับธนาคาร ธนาคารสามารถเอาเงินของผู้ฝากไปใช้ได้ แต่เมื่อผู้ฝากถอนเมื่อไร ธนาคารจะต้องคืนเงินให้แก่ผู้ฝากตามจำนวนที่ฝาก กรรมสิทธิ์ในเงินฝากที่ธนาคารรับฝากไว้ถือเป็นของธนาคาร
คำพิพากษาฎีกาที่ 1104/2545 จำเลยเป็นพนักงานของธนาคารผู้เสียหาย ตำแหน่งพนักงานธนาคารมีหน้าที่รับฝากและถอนเงินให้ลูกค้า แต่เงินที่ลูกค้านำฝากเข้าบัญชีของลูกค้าไว้กับผู้เสียหายเป็นของผู้เสียหาย และอยู่ในความครอบครองของผู้เสียหาย มิได้อยู่ในความครอบครองของจำเลย การที่จำเลยใช้ใบถอนเงินหรือแก้ไขบัญชีเงินฝากของลูกค้าผู้ฝากต่างกรรมต่างวาระในรูปแบบทางเอกสารเป็นกลวิธีในการถอนเงินของผู้เสียหาย จนเป็นผลสำเร็จแล้วทุจริตนำเงินนั้นไป จึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์
ทั้งการฝากเงินกับธนาคาร ถือได้ว่า ธนาคารเป็นผู้มีวิชาชีพเฉพาะ จึงต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสมควร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 520/2554 โจทก์ฟ้องขอให้จำเลย (ธนาคาร) รับผิดตามสัญญาฝากทรัพย์ โดยจำเลยเป็นนิติบุคคลประกอบธุรกิจการธนาคารพาณิชย์มีวัตถุประสงค์ว่ารับฝากเงิน จำเลยจึงเป็นผู้รับฝากผู้มีวิชาชีพเฉพาะ ที่ต้องใช้ความระมัดระวังตามสมควรในฐานะผู้มีวิชาชีพเฉพาะ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า พนักงานของจำเลยทุจริตลักลอบเบิกถอนเงินจากบัญชีเงินฝากของลูกค้าต่างๆ จำนวน 34 บัญชี รวมทั้งรายบัญชีของโจทก์ แสดงว่าจำเลยมิได้ใช้ความระมัดระวังในการดูแลบัญชีเงินฝากของโจทก์ ถือว่าเป็นการปฏิบัติผิดสัญญา
กรณีของอาม่า การที่ธนาคารให้เหตุผลดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เมื่อลูกค้านำเงินไปฝาก ธนาคารเป็นผู้เก็บข้อมูล คีย์ข้อมูลของลูกค้า ย่อมทราบดีว่า การถอนเงิน โอนเงิน เกิดขึ้นเวลาใด ที่ไหน ถ้าโอนเงินปลายทาง คือ ที่ไหน จำนวนเงินเท่าใด
ได้เคยมีการสอบถามพนักงานที่ทำงานธนาคาร เกี่ยวกับกลโกงของพนักงานธนาคารด้วยกัน ที่มีมุมมองต่างกัน นับได้ว่าเป็นข้อมูลที่น่าสนใจ ที่ผู้มีบัญชีเงินฝากเงินทั้งหลายควรฉุกคิด “คนที่มีโอกาสสูงที่จะโกงเงินธนาคาร น่าจะเป็นพนักงานที่ทำหน้าที่คีย์ข้อมูลเข้าระบบ เช่น พวกรับฝากเงิน มีอำนาจในการคีย์เงินเข้าไปในระบบ สมมติลูกค้าฝากหนึ่งร้อย อาจคีย์แค่ห้าสิบ อีกห้าสิบเก็บไว้ไปหมุนก่อน ที่เคยได้ยินก็อย่างพนักงานปลอมลายเซ็นลูกค้า แต่เขาจะดูก่อนว่าเป็นลูกค้าประเภทเงินฝากเยอะและยอดเงินไม่ค่อยเคลื่อนไหว เพราะพนักงานส่วนนี้สามารถเข้าไปตรวจสอบบัญชีของลูกค้าได้ แต่ถ้าลูกค้าที่เงินหมุนตลอดจะยาก เพราะลูกค้าจะเห็นความเคลื่อนไหวของเงินตลอด ”
“ในส่วนของพนักงานนับเงิน หรือ เทลเลอร์ ที่ทำหน้าที่รับฝาก ถอนเงิน ชำระค่าบริการต่างๆ ที่เคาน์เตอร์ บางครั้งพนักงานจะรู้ความเคลื่อนไหวทางบัญชีของลูกค้า เช่น ทราบว่าลูกค้าคนนี้ไม่มาติดต่อธนาคาร นานๆ ถึงจะมาปรับบัญชีที จะมีการถ่ายโอนเงินจากบัญชีของลูกค้ารายนั้นไป โดยที่เจ้าของบัญชีไม่ทราบ กว่าจะรู้ก็สูญเงินไปจำนวนไม่น้อย”
“พนักงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบรับเงินลูกค้าจากข้างนอก ต้องมีการแต่งตั้งเป็นลายลักษณ์อักษร แต่บางธนาคารมีลูกค้าเก่าแก่ที่ติดต่อเชื่อถือกันมานาน ก็จะไว้ใจให้พนักงานธนาคารนำเงินฝากเข้าบัญชีให้ทุกเดือน แต่กลับปรากฏว่าพนักงานไม่ได้นำเงินเข้าบัญชีให้ทุกเดือน แต่แอบยักยอกเงินลูกค้ามาโดยตลอด”
การทุจริตหรือแอบยักยอกเงินของพนักงานที่ปรากฏนั้น ขึ้นอยู่กับระบบควบคุมภายในธนาคารแต่ละแห่ง ว่าจะมีมาตรการเข้มงวดและระบบการตรวจสอบที่ละเอียดรอบคอบหรือไม่
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าระบบที่จะรัดกุมแค่ไหน แต่หากผู้เกี่ยวข้องขาดจรรยาบรรณต่ออาชีพ ขาดความซื่อสัตย์สุจริต การทุจริตยังคงมีอยู่ ระบบไม่สามารถช่วยได้